หอยมือเสือ (Giant Clam) .....เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกมอลลัสกา (Phylum Mollusca) โดยถูกจัดอยู่ในกลุ่มหอยสองฝา (Bivalves หรือ Pelecypods) มีฝาเปลือก 2 ชิ้นประกบติดกันทางด้านล่าง ขอบด้านบนหยักเป็นคลื่น
บนเปลือกเป็นแนวสันยาวโค้งจากฐานมาถึงขอบเปลือกข้างละประมาณ 4–5 แนว มีเกล็ดเปลือกเป็นแผ่นบางๆ ระบายเป็นชั้นๆ ขนานกันในแนวขวางโดยรอบเปลือกด้านนอก ดูไปแล้วคล้ายๆกับริ้วระบายบนกระโปรงของนักเต้นระบำละตินที่ดูแล้วสวยงามยิ่งนักฝาทั้งสองด้านของหอยมือเสือ ยึดติดกันด้วยเอ็น ฝาด้านบนจะเปิดออกเพื่อรับแสงและจะแผ่ส่วนเนื้อเยื่อที่เรียกว่าแมนเทิล (Mantle) ที่มีสีสันสวยงามออกมา ลวดลายบนแมนเทิลของหอยแต่ละตัวจะไม่เหมือนกัน แมนเทิลนี้เป็นจุดที่ไวต่อแสง แมนเทิลจะหดเข้าไปในตัวหอยเมื่อมีแสงหรือวัตถุอื่นๆ ผ่านเข้าไปใกล้ๆ และจะคลี่บานออกมาใหม่ได้อีกในทันทีที่ต้องการ ตรงรอยต่อด้านล่างของฝาหอย ส่วนที่เปลือกประกบกันอยู่เป็นบานพับเปลือก ต่อจากบานพับเปลือกออกมาจะมีส่วนที่ลักษณะเป็นช่องสำหรับให้เส้นใยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า บิสซัส (Byssus) ทำหน้าที่เชื่อมยึดตัวหอยให้เกาะติดกับหินหรือวัสดุใต้น้ำ ซึ่งโดยปกติหอยมือเสือชนิดนี้ จะเชื่อมตัวติดอยู่กับวัสดุใต้น้ำ

และจะสามารถสร้างเส้นใยยึดเกาะนี้ได้ใหม่หากถูกตัดขาดออก หรือถูกย้าย ซึ่งจะใช้ระยะเวลาการเชื่อมติดต่างกัน แล้วแต่อายุและขนาดของหอย ลักษณะของ Byssus คล้ายรากของต้นไม้ ซึ่งหากถูกดึงฉีกขาด จะทำให้หอยได้รับความกระทบกระเทือนบอบช้ำ และอาจตายได้ ฝรั่งจึงเรียกวิธีการนำไปหอยไปปล่อยว่า “การปลูกหอยมือเสือ” (Giant Clam Seeding or Plantation) หอยมือเสือมีความสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นกับสาหร่าย ซูแซนเทลลี่ (Zooxanthellae) เช่นเดียวกับปะการัง กล่าวคือ สาหร่ายจำนวนมากอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อแมนเทิล จะอาศัยของเสีย เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนเตรท ฟอสเฟต และธาตุอาหารอื่นๆจากหอย มาใช้ในการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร ส่วนหอยก็จะได้รับสารอาหารคืนจากที่สาหร่ายผลิตได้จากการสังเคราะห์แสง เช่น ก๊าซออกซิเจน และสารอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล นอกเหนือไปจากการกินอาหารโดยการกรองเอาสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ลอยอยู่ในมวลน้ำ การที่ส่วนของแมนเทิลของหอยมีสีต่างๆกัน เช่น ม่วง น้ำตาล น้ำเงิน หรือเขียวนั้น ไม่ใช่สีของสาหร่ายโดยตรง แต่เป็นผลลัพธ์ประกอบกันจากเม็ดสีในเนื้อเยื่อของหอยและรงควัตถุที่อยู่ในสาหร่าย หอยมือเสือทุกตัวจะเป็นกระเทย คือมีสองเพศในตัวเดียว โดยช่วงแรกยังไม่สามารถระบุเพศได้ จนอายุประมาณ 2 ปีขึ้นไป จะเป็นเพศผู้ มีการสร้างน้ำเชื้อ และเมื่ออายุประมาณ 4 ปีครึ่ง จะเปลี่ยนเป็นเพศเมีย เริ่มสร้างไข่เพื่อสืบพันธุ์ ในเขตร้อนหอยสามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งปี ขณะที่ในเขตอบอุ่นหอยจะสืบพันธุ์เฉพาะช่วงฤดูร้อนเท่านั้น สำหรับอายุขัยของหอยมือเสือนั้น หากมีอาหารสมบูรณ์ มีที่เกาะยึดที่แน่นหนาแข็งแรง น้ำทะเลในบริเวณที่อยู่อาศัยมีความสะอาดปราศจากมลพิษ และมีแสงแดดพอเพียงในการสังเคราะห์แสงของสาหร่ายซูแซนแทลลี่ หอยมือเสืออาจจะมีอายุยืนยาวได้ถึง ร้อยปีทีเดียวค่ะ ในน่านน้ำไทยปัจจุบัน พบหอยมือเสือที่มีชีวิตอยู่เพียง 3 ชนิด ที่พบมากที่สุดจะเป็นชนิดที่ฝังอยู่ในก้อนปะการัง มีสีสันสวยงามหลากสี คือ Tridacna crocea ซึ่งเป็นหอยมือเสือที่มีขนาดเล็กที่สุด โดยมีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 15 เซนติเมตร ชนิดที่พบมากรองลงมา คือ Tridacna maxima ลักษณะค่อนข้างคล้ายชนิดแรก แต่มักฝังตัวอยู่ในก้อนปะการังหรือตามซอกหลืบประมาณครึ่งตัวขณะที่ชนิดแรกมักฝังทั้งตัว โดยโผล่ออกมาเฉพาะแมนเทิล ส่วนชนิดที่พบน้อย อยู่ในสภาวะใกล้จะสูญพันธุ์ จนกรมประมงต้องดำเนินการเพาะเลี้ยงนั้น เป็นพันธุ์ Tridacna squamosa ซึ่งในธรรมชาติจะอาศัยเพียงเกาะติดกับหินหรือปะการัง ไม่ฝังตัว ประโยชน์ของหอยมือเสือนั้นมีมากมายเช่นเดียวกับปะการัง กล่าวคือ - เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสาหร่ายซูแซนแทลลี่ ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่ผลิตออกซิเจนและสารอาหาร ประเภทแป้งและน้ำตาลให้กับหอยมือเสือเองแล้ว ยังเผื่อแผ่ให้ปลาและพืชที่อยู่ในบริเวณเดียวกันด้วย - ในกระบวนการสังเคราะห์แสงของสาหร่ายที่อยู่ในตัวหอย ก็เช่นเดียวกับในพืชอื่นๆ คือจะดูดซับเอาสาร ต่างๆ รวมทั้งของเสียสิ่งขับถ่ายจากสัตว์อื่นในระบบนิเวศ มาสังเคราะห์เป็นอาหารและพลังงานที่เป็น ประโยชน์ หอยมือเสือจึงเป็นเสมือนทั้งโรงงานสร้างอาหาร และโรงงานกำจัดของเสียไปพร้อมๆ กัน - หอยมือเสือกรองกินอาหารที่ลอยมาตามน้ำ ดังนั้น หากมีฝุ่นตะกอนลอยมาตามน้ำ หอยมือเสือก็จะทำหน้าที่ดูดกรองฝุ่นตะกอนเหล่านั้นไว้ น้ำในบริเวณนั้นจึงใสสะอาด ช่วยให้ระบบนิเวศน์ของทะเลดีตามไปด้วย - ไข่ ตัวอ่อน และเนื้อเยื่อที่มีสาหร่ายอยู่ภายใน เป็นอาหารของปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ และสุดท้าย......หอยมือเสือสามารถพัฒนาให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจได้ ศัตรูของหอยมือเสือนั้น นอกจากศัตรูตามธรรมชาติซึ่งได้แก่ปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ แล้ว “มนุษย์” นับเป็นศัตรูตัวร้ายที่สุดของหอยมือเสือ มนุษย์จับหอยมือเสือมาปรุงเป็นอาหาร (บางคนกินแค่ตรงเอ็นหอยเท่านั้น) และนำเปลือกมาเป็นของสะสม เครื่องใช้ และเครื่องตกแต่งบ้าน จนในขณะนี้หอยมือเสือแทบจะสูญพันธุ์ไปจากโลก ในประเทศไทย ได้มีความกังวลเรื่องการสูญพันธุ์และการลดปริมาณของหอยมือเสือลงอย่างมาก จนได้มีการประกาศให้หอยมือเสือเป็นสัตว์คุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ห้ามล่า ห้ามครอบครองตัวและซากหอยมือเสือ นอกจากนี้....หอยมือเสือเป็นสัตว์ที่ได้รับการขึ้นบัญชีว่าเป็นสัตว์ที่อยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์หรือเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ (Endangered species) ถือเป็นสัตว์คุ้มครองตามอนุสัญญา CITES ซึ่งมีประเทศต่างๆ ทั่วโลกนับร้อยประเทศเป็นสมาชิก รวมทั้งประเทศไทยด้วย จึงเป็นที่ทราบกันทั่วโลกว่า...หอยมือเสือเป็นสัตว์คุ้มครอง ซึ่งหากจะมีการนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็เฉพาะที่ได้มาจากการเพาะเลี้ยง ซึ่งในบางประเทศมีการเพาะเลี้ยงและใช้ประโยชน์แล้วกรมประมงโดยศูนย์พัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ ได้เร่งทำการวิจัยเพื่อเพาะและขยายพันธุ์หอยมือเสือนับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา และประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ได้ลูกหอยมือเสือสายพันธุ์ฝั่งทะเลอ่าวไทย รุ่นแรกในปี 2536 จนถึงปัจจุบัน ประสบความสำเร็จได้ลูกหอยมือเสือที่เกิดจากการเพาะพันธุ์ออกมากว่าสองแสนตัว ซึ่งได้มีผู้สนใจจะนำลูกหอยมือเสือไปปล่อยตามแหล่งต่างๆ ในทะเลอ่าวไทยกันมากมาย และสำหรับสายพันธุ์อันดามันนั้น ขณะนี้ทราบข่าวดีว่ากรมประมงก็ประสบความสำเร็จในการเพาะขยายพันธุ์รุ่นแรกแล้ว ขณะนี้ได้มีผู้ให้ความสนใจในการรับพันธุ์หอยมือเสือจากศูนย์เพาะเลี้ยงของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง ประจวบคีรีขันธ์ที่ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองวาฬ ในเขตอำเภอเมืองประจวบฯ เพื่อนำไปปล่อยในทะเล ทั้งด้านอ่าวไทยและอันดามันเป็นจำนวนหลายหมื่นตัว อนาคต....เราอาจจะได้เห็นหอยมือเสือกลับมาให้เห็นได้ทั่วใปในท้องทะเลของไทย เรามาช่วยกันดูแลหอยมือเสือให้อยู่รอดปลอดภัยและสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้ต่อไปในน่านน้ำตามธรรมชาติ ทั้งนี้....เพื่อประโยชน์แก่ระบบนิเวศทางทะเล และเพื่อให้พวกเขาเป็นประดุจอัญญมณีที่จะประดับประดาท้องทะเลไทยให้สวยงามยิ่งๆขึ้นไปอีกค่ะ เรียบเรียงจาก : 1. “เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับหอยที่ใหญ่ที่สุดในโลก…หอยมือเสือ” โดย แน่งน้อย ยศสุนทร แหล่งข้อมูล:1.1 “โครงการอุทยานใต้ทะเล จุฬาภรณ์ 36 คู่มือสัตว์และพืชในแนวปะการังหมู่เกาะสุรินทร์และสิมิลัน” โดยสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และกองเรือภาค 3 กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2538 1.2 “ทะเลไทย” โดย ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ และสกลพรรณ ทิพานันท์ 1.3 “ Marine Life in the South China Sea ” by Maggie Gremlin and Helen Newman, 1993 APA Publications (HK) Ltd. 1.4 “ Marine Life of Thailand and Southeast Asia ” by Gerald Allen, Phd., 1996 Periplus Editions (HK) Ltd. 1.5 คุณจินตนา นักระนาด นักวิชาการ ศูนย์พัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ กรมประมง 2. “หอยมือเสือ” โดย สุรพงษ์ บรรจงมณี สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล จ.ภูเก็ต